พระบรมราโชวาท

ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันศุกร์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๕



สำนักกฎหมาย เจที ลอว์ ทนายความ


ปรึกษากฎหมาย ทนายความเชียงใหม่ ทนายความลำพูน ทนายความลำปาง และรับว่าความทั่วราชอาณาจักร

ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายเบื้องต้นฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ


งานบริการของสำนักงาน

ให้ความช่วยเหลือทางด้านคดีความทั้งในคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีอื่นๆ ในชั้นต่างๆ ดังนี้

1.ปรึกษากฎหมาย
ให้คำปรึกษาทางด้านคดีความ กฎหมาย เพื่อให้ทราบถึงข้อกฎหมาย หรือหลักเกณฑ์ต่างๆทางด้านกฎหมาย

2.ชั้นไกล่เกลี่ย
ในกรณีที่มีความเกี่ยวข้องกันตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป โดยอาจจะทราบหรือไม่ทราบในข้อกฎหมาย แต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่จะตกลงกันได้เอง และมีความต้องการให้ทนายความช่วยในการไกล่เกลี่ยเรื่องราว

3.ชั้นตำรวจ
ในกรณีที่เรื่องราว คดีความ ดำเนินไปถึงชั้นตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเพียงคดีแพ่งแต่มีการไกล่เกลี่ยที่ชั้นตำรวจ หรือเป็นคดีอาญาที่ต้องมีการดำเนินการทั้งกฎหมาย ทั้งการให้การในชั้นตำรวจ ในฐานะผู้เสียหาย ผู้ต้องหา พยาน หรือการประกันตัวในชั้นตำรวจ

4.ชั้นพนักงานอัยการ
ในกรณีที่คดีอาญามีการดำเนินการจนไปถึงชั้นพนักงานอัยการ ซึ่งอยู่ระหว่างที่พนักงานอัยการพิจารณาสำนวนว่าจะสั่งฟ้อง หรือไม่ ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ให้การเพิ่มเติม ยื่นประกันตัว

5.ชั้นศาล
5.1 ศาลชั้นต้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มีความต้องการจะฟ้องคดีต่อศาลในฐานโจทก์/ผู้เสียหาย หรือถูกฟ้องเป็นจำเลยทั้งในคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีอื่นๆ มีความต้องการที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดี หรือได้รับหมายเรียกให้ไปให้การเป็นพยานในชั้นศาล
5.2 ศาลชั้นอุทธรณ์ ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่คู่ความไม่พอใจคำพิพากษาของศาล และมีความต้องการอุทธรณ์เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแก้ไข เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
5.3 ศาลชั้นฎีกา ในกรณีที่ศาลชั้นอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาออกแล้ว แต่คู่ความไม่พอใจคำพิพากษา มีความประสงค์จะขออนุญาต และทำการยื่นฎีกาต่อศาล

6.ชั้นบังคับคดี
ในกรณีที่คดีได้ถึงที่สุดไปแล้ว และอยู่ระหว่างที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล ทั้งในคดีแพ่ง และคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโจทก์ จำเลย หรือบุคคลภายนอกซึ่งมีส่วนได้เสียในการบังคับคดีนั้น

7.การรื้อฟื้นคดี
ในกรณีที่คดีได้ถึงที่สุดไปแล้ว แต่มีพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งหากได้ปรากฎในชั้นศาลตั้งแต่แรก จะทำให้ผลแพ้ชนะของคดีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และมีความต้องการให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่

ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ ทนายเชียงใหม่ ทนายความเชียงใหม่

ติดต่อทนายความ โทร.094-506-66-55



วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ผู้ซื้อฝากไม่แจ้งล่วงหน้า... ผู้ขายยังไถ่ที่ดินคืนได้อีก 6 เดือนจริงไหม?

 


❗️ผู้ซื้อฝากไม่แจ้งล่วงหน้า... ผู้ขายยังไถ่ที่ดินคืนได้อีก 6 เดือนจริงไหม?

“สัญญาขายฝากบอกว่าให้ไถ่ภายใน 1 ปี ถ้าไถ่ไม่ทัน ก็ถือว่าสิ้นสิทธิใช่ไหม?”
“แต่ฝั่งผู้ซื้อไม่เคยแจ้งอะไรล่วงหน้าเลย แบบนี้ถือว่าฉันยังมีสิทธิอยู่หรือเปล่า?”

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ตกลงทำ “สัญญาขายฝาก” กับนายทุน
หลายคนพลาดเพราะเข้าใจผิดว่า “ครบกำหนดแล้วหมดสิทธิทันที” ทั้งที่จริง ๆ แล้ว กฎหมายฉบับใหม่ปี 2562 ให้สิทธิผู้ขายฝากมากกว่าที่หลายคนคิดครับ


👩‍🌾 กรณีสมมติ: ป้าสมหมายเกือบเสียที่ดิน

ป้าสมหมายเป็นชาวนาสูงวัยในจังหวัดลำปาง มีที่นา 3 ไร่ แต่ขัดสนเรื่องเงินทุน จึงขายฝากที่ดินให้กับนายทุนรายหนึ่งในอำเภอ โดยทำสัญญาขายฝากเป็นเวลา 1 ปี มูลค่า 300,000 บาท

ป้าสมหมายตั้งใจแน่วแน่ว่าจะหาเงินมาไถ่ที่คืนให้ได้ เพราะเป็นที่ดินผืนสุดท้ายของครอบครัว

เมื่อเวลาผ่านไปจนครบ 1 ปี ป้าสมหมายติดต่อกลับไปยังนายทุนเพื่อไถ่ แต่กลับถูกบอกว่า “เลยกำหนดไถ่แล้ว สัญญาขาดแล้ว”

ป้าสมหมายช็อก เพราะตลอดเวลา ไม่เคยได้รับจดหมายแจ้งใด ๆ ไม่ว่าจะเรื่องกำหนดไถ่หรือยอดเงินเลย


⚖️ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากฯ พ.ศ. 2562

มาตรา 17 บัญญัติไว้ว่า:

ก่อนวันครบกำหนดเวลาไถ่ไม่น้อยกว่าสามเดือนแต่ไม่มากกว่าหกเดือน ให้ผู้ซื้อฝากแจ้งเป็นหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังผู้ขายฝากเพื่อให้ผู้ขายฝากทราบกำหนดเวลาไถ่และจำนวนสินไถ่ พร้อมทั้งแนบสำเนาสัญญาขายฝากไปด้วย ในกรณีที่ผู้แจ้งมิใช่ผู้ซื้อฝากเดิม ต้องแจ้งไปด้วยว่าผู้ขายฝากจะต้องไถ่กับผู้ใดและสถานที่ที่จะต้องชำระสินไถ่

ในกรณีที่ผู้ซื้อฝากไม่ได้ดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ขายฝากภายในระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่งหรือมิได้ส่งสำเนาสัญญาขายฝากไปด้วย ให้ผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากได้ภายในหกเดือนนับแต่วันครบกำหนดไถ่ที่ระบุไว้ในสัญญาขายฝาก โดยผู้ขายฝากมีหน้าที่ชำระสินไถ่ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญา


สรุปข้อกฎหมาย

ก่อนครบกำหนดไถ่ ไม่น้อยกว่า 3 เดือน และไม่เกิน 6 เดือน
ผู้รับซื้อฝากจะต้อง “แจ้งเป็นหนังสือ” ไปยังผู้ขายฝาก
ซึ่งต้องประกอบด้วย

  • กำหนดเวลาไถ่

  • จำนวนเงินสินไถ่

  • แนบสำเนาสัญญาขายฝาก

  • ถ้ามีการโอนสิทธิ ต้องแจ้งด้วยว่าผู้ขายฝากจะต้องไถ่กับใคร ที่ไหน

❗️หากผู้ซื้อฝากไม่แจ้ง
👉 ผู้ขายฝากยังมีสิทธิไถ่ได้อีก 6 เดือน
⏰ นับจากวันครบกำหนดในสัญญา
💰 โดยชำระเงินตามจำนวนในสัญญาเดิม


🧠 วิเคราะห์: กฎหมายไม่ละทิ้งผู้ด้อยโอกาส

กฎหมายฉบับนี้ถูกตราขึ้นเพื่อคุ้มครองประชาชนที่ต้องตกเป็น “ฝ่ายเสียเปรียบ” โดยเฉพาะผู้ขายฝากที่อาจไม่รู้หนังสือ, เข้าถึงข้อมูลทางกฎหมายไม่ได้

ดังนั้น หากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย คือ “ไม่แจ้ง” ล่วงหน้า
ระบบกฎหมายจะ “คืนโอกาส” ให้ผู้ขายฝาก สามารถไถ่คืนได้อีกภายใน 6 เดือน
ซึ่งถือเป็นการรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ขาย


✅ สรุปสำหรับผู้ขายฝาก

ประเด็นสถานะ
ผู้ซื้อไม่แจ้งล่วงหน้า❌ ผิดกฎหมาย
ผู้ขายยังมีสิทธิไถ่หรือไม่✅ มีสิทธิภายใน 6 เดือน
ต้องจ่ายเพิ่มไหม❌ ไม่ต้อง จ่ายเท่าที่ระบุในสัญญา
ต้องรอการอนุญาตจากผู้ซื้อไหม❌ ไม่จำเป็น สิทธิเป็นของผู้ขายโดยชอบด้วยกฎหมาย

📝 ข้อเสนอแนะ

  • ✅ ผู้ขายฝากควร “จดวันครบกำหนดในสัญญา” ไว้ชัดเจน

  • ✅ หากใกล้ครบกำหนดแล้วยังไม่ได้รับจดหมายใด ๆ จากผู้ซื้อฝาก ให้รีบสอบถาม

  • ✅ หากผู้ซื้อไม่แจ้งอย่างเป็นทางการ คุณอาจมีสิทธิต่อเวลาไถ่ได้อีก 6 เดือน

  • ⚠️ สิทธินี้ใช้ได้ครั้งเดียว และต้องไถ่ให้ทันภายใน 6 เดือน


หมายเหตุ * บทความนี้เป็นเพียงความเห็นทางกฎหมายเท่านั้น ผลทางกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงแตกต่างไป วิธีปฏิบัติและผลย่อมแตกต่างไปด้วย


🤝 ปรึกษาทนายตั้ม จาก JT Law Firm

คุณกำลังจะหมดสิทธิไถ่คืนที่ดินที่รักของคุณใช่ไหม?
📩 ติดต่อทนายตั้ม เพื่อประเมินสิทธิของคุณ และวางแผนดำเนินการอย่างถูกต้อง
🟩 LINE
📘 Facebook: JT ปรึกษากฎหมายกับทนายตั้ม
📞 โทร.


#ผู้ขายฝากต้องรู้ #สิทธิไถ่คืน #มาตรา17 #JTlawfirm #ทนายความเชียงใหม่ #รับว่าความทั่วประเทศ

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เป็นผู้รับซื้อฝาก อย่าลืม "แจ้งล่วงหน้า"... ไม่งั้นผู้ขายจะมีสิทธิไถ่คืนเพิ่มอีก 6 เดือน!

 


📬 เป็นผู้รับซื้อฝาก อย่าลืม "แจ้งล่วงหน้า"... ไม่งั้นผู้ขายจะมีสิทธิไถ่คืนเพิ่มอีก 6 เดือน!

“ใกล้ครบกำหนดสัญญาแล้ว เตรียมโอนขายได้เลย?”
“ผู้ขายไม่มาไถ่ ก็ถือว่าสละสิทธิใช่ไหม?”

คำตอบคือ “ไม่เสมอไป” ครับ

ถ้าคุณเป็นผู้รับซื้อฝากที่ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเฉพาะ “การแจ้งล่วงหน้า” ให้ถูกต้อง ผู้ขายอาจมีสิทธิไถ่ทรัพย์คืนต่อไปได้อีกถึง 6 เดือน ซึ่งอาจทำให้การโอนที่คุณวางแผนไว้ล่าช้า หรืออาจไม่ถูกต้อง


🧑‍💼 กรณีสมมติ: โอนขายที่ดินไม่ได้ เพราะลืมส่งจดหมาย

คุณชาตรี รับซื้อฝากที่ดินจากลูกค้าในต่างจังหวัดหลายราย โดยกำหนดระยะเวลาไถ่ 1 ปี

ในสัญญาหนึ่งครบกำหนดไถ่แล้ว คุณชาตรีเห็นว่าฝ่ายผู้ขายไม่มาชำระเงิน จึงจะดำเนินการโอนขายที่ดิน

แต่ปรากฏว่า “ที่ดินโอนไม่ได้” เพราะผู้ขายยังมีสิทธิไถ่คืนอีก 6 เดือนตามมาตรา 17 เนื่องจากคุณชาตรี “ไม่ได้ส่งหนังสือแจ้ง” ให้ผู้ขายล่วงหน้าตามที่กฎหมายกำหนด


⚖️ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พ.ร.บ.คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากฯ พ.ศ. 2562

มาตรา 17 

ก่อนวันครบกำหนดเวลาไถ่ไม่น้อยกว่าสามเดือนแต่ไม่มากกว่าหกเดือน ให้ผู้ซื้อฝากแจ้งเป็นหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังผู้ขายฝากเพื่อให้ผู้ขายฝากทราบกำหนดเวลาไถ่และจำนวนสินไถ่ พร้อมทั้งแนบสำเนาสัญญาขายฝากไปด้วย ในกรณีที่ผู้แจ้งมิใช่ผู้ซื้อฝากเดิม ต้องแจ้งไปด้วยว่าผู้ขายฝากจะต้องไถ่กับผู้ใดและสถานที่ที่จะต้องชำระสินไถ่

ในกรณีที่ผู้ซื้อฝากไม่ได้ดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ขายฝากภายในระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่งหรือมิได้ส่งสำเนาสัญญาขายฝากไปด้วย ให้ผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากได้ภายในหกเดือนนับแต่วันครบกำหนดไถ่ที่ระบุไว้ในสัญญาขายฝาก โดยผู้ขายฝากมีหน้าที่ชำระสินไถ่ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญา

สรุปข้อกฎหมาย

ก่อนครบกำหนดเวลาไถ่ 3 – 6 เดือน
ผู้ซื้อฝากต้องแจ้งเป็น “หนังสือ” ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
เอกสารต้องมี:

  • วันครบกำหนด

  • จำนวนเงิน

  • สำเนาสัญญาขายฝาก

  • ถ้าโอนสิทธิ ต้องแจ้งว่าไถ่กับใคร ที่ใด

❗️หากไม่แจ้งอย่างถูกต้อง
👉 ผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ต่อได้อีก 6 เดือน
และคุณอาจไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามกำหนด


🧠 วิเคราะห์: ผู้ซื้อฝากต้องรู้หน้าที่

หลายคนเข้าใจว่า “การรับซื้อฝาก” เป็นการลงทุนปลอดภัย เพราะมักมั่นใจว่าผู้ขายไม่มีเงินมาไถ่
แต่หากคุณไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ทางกฎหมาย สิทธิในการโอนทรัพย์อาจล่าช้า
และถ้าผู้ขายมีพยานและหลักฐานว่า “ไม่เคยได้รับจดหมายแจ้ง”
คุณในฐานะผู้ซื้ออาจเสียเปรียบในการพิสูจน์สิทธิทันที


✅ สรุปสำหรับผู้ซื้อฝาก

ประเด็นสิ่งที่ต้องทำ
การแจ้งผู้ขายล่วงหน้า✅ ต้องแจ้ง 3 – 6 เดือนก่อนครบกำหนด
วิธีแจ้ง✅ หนังสือทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
เอกสารที่ต้องแนบ✅ สำเนาสัญญา, ยอดเงิน, วันครบกำหนด
ถ้าไม่แจ้ง❌ ผู้ขายยังมีสิทธิไถ่เพิ่มอีก 6 เดือน

📝 ข้อเสนอแนะ

  • ✉️ เตรียมหนังสือแจ้งล่วงหน้า

  • 📬 ตรวจสอบวันครบกำหนดในทุกสัญญาให้แน่นอน

  • 🗂 จัดเก็บหลักฐานการส่งไปรษณีย์ไว้ให้ครบ เพื่อป้องกันการโต้แย้งในอนาคต

  • ⚠️ การละเลยเพียงเล็กน้อย อาจทำให้สิทธิของคุณสะดุดทันที


หมายเหตุ * บทความนี้เป็นเพียงความเห็นทางกฎหมายเท่านั้น ผลทางกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงแตกต่างไป วิธีปฏิบัติและผลย่อมแตกต่างไปด้วย


🤝 ปรึกษาทนายตั้ม จาก JT Law Firm

📩 ปรึกษาทนายตั้ม เพื่อวางแผนการแจ้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
🟩 LINE
📘 Facebook: JT ปรึกษากฎหมายกับทนายตั้ม
📞 โทร.


#ผู้ซื้อฝากต้องรู้ #แจ้งครบก่อนโอน #สิทธิไถ่คืน #JTlawfirm #ทนายความเชียงใหม่ #รับว่าความทั่วประเทศ

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

แค่ “รับจ้างเปิดบัญชี” ก็ผิดสนับสนุนฉ้อโกงประชาชน!

 


❌ แค่ “รับจ้างเปิดบัญชี” ก็ผิดสนับสนุนฉ้อโกงประชาชน!

❓ “ผมแค่รับจ้างเปิดบัญชีให้เขา ไม่รู้ด้วยว่าเขาจะเอาไปโกงคนอื่น แบบนี้ผมผิดด้วยเหรอครับ?”

ในยุคที่คนร้ายหลอกให้คนทั่วไป “เปิดบัญชี” แล้วเอาไปใช้โกงผู้อื่น หลายคนคิดว่า “ไม่เกี่ยวกับเรา” เพราะเราไม่ได้ลงมือโกงเอง… แต่รู้ไหมครับว่าแค่รับจ้างเปิดบัญชี ก็อาจติดคุกในฐานะ “ผู้สนับสนุนการฉ้อโกงประชาชน” ได้เลย!


📌 กรณีตัวอย่างจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2567

             "การรับจ้างเปิดบัญชีแล้วมอบสมุดบัญชีเงินฝากให้บุคคลอื่นไปใช้เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยเล็งเห็นได้ว่า ค. อาจเป็นผู้รับจัดหาคนมาเปิดบัญชีให้คนร้ายหรือร่วมกับคนร้ายอาจนำสมุดบัญชีเงินฝากของจำเลยไปใช้ในการกระทำความผิดกฎหมายหรือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ จำเลยจะอ้างว่าถูกหลอกใช้หาได้ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนร้ายได้รับประโยชน์จากบัญชีเงินฝากของจำเลยก่อนและขณะที่คนร้ายร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายที่ 2 จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของผู้อื่นฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น"

ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดเป็น “ผู้สนับสนุนร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”


⚖️ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายอาญา 

  • มาตรา 86
                  ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

  • มาตรา 341 
                  ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

  • มาตรา 343
                  ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔๑ ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ                
    ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา ๓๔๒ อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท


🧠 วิเคราะห์: แม้ “ไม่รู้รายละเอียด” แต่ “ยินยอมให้ใช้บัญชี” ก็ผิด!

ศาลวางแนวไว้อย่างชัดเจนว่า แม้ไม่รู้รายละเอียดการโกง แต่หากยินยอมให้ใช้บัญชีของตน ย่อมเสมือน “เอื้อให้คนร้าย” ทำผิดกฎหมายได้ง่ายขึ้น

แบบนี้ จะกลายเป็น “ผู้ร่วมขบวนการ” ไปโดยไม่รู้ตัว


✅ สรุปให้เข้าใจง่าย

พฤติกรรมผิดหรือไม่
แค่รับเงินแล้วเปิดบัญชีให้คนอื่นใช้❌ ผิด!
ยกสมุดบัญชี + บัตร ATM ให้ผู้อื่น❌ ผิด!
อ้างว่าไม่รู้ว่าคนรับบัญชีเอาไปโกง❌ ไม่รอด!
ถูกจ้างมาเปิดบัญชีโดยได้ค่าตอบแทน❌ ผิดฐานสนับสนุนฉ้อโกงประชาชน

📝 ข้อแนะนำจากทนายตั้ม

  • อย่ารับจ้างเปิดบัญชีให้คนอื่นเด็ดขาด ไม่ว่าจะได้เงินหรือไม่!

  • การมอบบัญชีให้ผู้อื่นใช้งานโดยไม่มีเหตุอันควร อาจถือเป็นการร่วมกระทำผิด

  • หากถูกชักชวนให้เปิดบัญชีแล้วสงสัยว่าผิดกฎหมาย ให้รีบปรึกษาทนายทันที


📩 ปรึกษาทนายตั้ม จาก JT Law Firm

หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยให้บัญชีคนอื่นใช้ แล้วกลัวว่าจะมีปัญหากฎหมาย
💬 ปรึกษาทนายตั้ม เราช่วยคุณตรวจสอบ แนะนำ และดำเนินการอย่างถูกต้อง
📞 โทรศัพท์ | 📱 LINE | 📘 Facebook: JT ปรึกษากฎหมายกับทนายตั้ม


📌 หมายเหตุ

บทความนี้เป็นเพียงความเห็นทางกฎหมายเท่านั้น ผลทางกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงแตกต่างไป วิธีปฏิบัติและผลย่อมแตกต่างไปด้วย


🔎 #เปิดบัญชีให้คนอื่นใช้ #คดีฉ้อโกงประชาชน #คำพิพากษาศาลฎีกา #บัญชีม้า #JTlawfirm #ทนายความเชียงใหม่ #รับว่าความทั่วประเทศ

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ให้เพื่อนยืมบัญชีรับเงิน… ไม่ได้แค่โดนปิดบัญชี แต่ถึงขั้นติดคุก!

 


🧾 ให้เพื่อนยืมบัญชีรับเงิน… ไม่ได้แค่โดนปิดบัญชี แต่ถึงขั้นติดคุก!

“เพื่อนขอยืมบัญชี บอกจะใช้รับเงินลูกค้า ผมก็แค่ให้ใช้เฉย ๆ… ไม่คิดว่าจะมีความผิดเลย”

เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง และลงเอยถึงขั้นติดคุก เพราะศาลฎีกาตัดสินว่า การยินยอมให้คนอื่นใช้บัญชีไปโกงคนอื่น เท่ากับเป็น “ผู้สนับสนุน” อาชญากรรม!


📚 กรณีในคดี:

จำเลยที่ 1 หลอกลวงให้ประชาชนจำนวนมากลงทุน โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง ทั้งที่ความจริงไม่มีการนำเงินไปลงทุนจริง เป็นการ “ฉ้อโกงประชาชน” และ “กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”

จำเลยที่ 2 (เพื่อนของจำเลยที่ 1) รู้ ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิด แต่ก็ยัง ยินยอมให้นำบัญชีของตนเองไปรับโอนเงินจากผู้เสียหาย ถึง 13 ราย


⚖️ ศาลฎีกาว่าอย่างไร?

ศาลฎีกาที่ 1173/2566 วินิจฉัยว่า

การที่จำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำบัญชีเงินฝากของตนไปใช้รับโอนเงินลงทุนที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบสาม ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 86 และต้องร่วมรับผิดในส่วนแพ่งกับจำเลยที่ 1 ด้วย


🔎 วิเคราะห์:

  • การรู้เห็นเป็นใจ แม้ไม่ได้ร่วมลงมือหลอกลวงเอง ก็ถือว่ามีส่วนร่วมในอาชญากรรม

  • แม้ไม่ได้รับผลประโยชน์โดยตรง แต่หากช่วยให้การโกงเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น ก็เข้าข่าย “ผู้สนับสนุน”

  • ความรับผิดไม่ใช่แค่คดีอาญา แต่ยังต้องใช้เงินคืนในคดีแพ่งด้วย!


✅ บทเรียนจากคดีนี้:

  • ไม่ควรให้ผู้อื่นยืมบัญชีรับโอนเงิน

  • ถ้ามีเหตุจำเป็นจริง ควรตรวจสอบที่มาของเงิน และทำเป็นลายลักษณ์อักษร

  • ถ้ารู้ว่ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิด แล้วนิ่งเฉย = อาจติดคุกไปด้วย


🧑‍⚖️ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

  • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
               "ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น"


📌 สรุปสั้น:

✅ ให้บัญชีคนอื่นใช้ แล้วเขาโกง = มีสิทธิ์ติดคุกด้วย
✅ รู้เห็นแต่ไม่ห้าม = ศาลถือว่าช่วยเหลือ
✅ ผิดทั้งอาญาและต้องชดใช้เงินแพ่งด้วย


หมายเหตุ

บทความนี้เป็นเพียงความเห็นทางกฎหมายเท่านั้น ผลทางกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงแตกต่างไป วิธีปฏิบัติและผลย่อมแตกต่างไปด้วย


🤝 ปรึกษาทนายตั้ม จาก JT Law Firm

หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคย “ให้คนอื่นยืมบัญชี” แล้วเกิดปัญหา หรือถูกแจ้งความว่าเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกง
📩 ปรึกษาเราได้ทันที ทนายพร้อมช่วยเหลือทุกขั้นตอน


#ให้ยืมบัญชี #ผู้สนับสนุนความผิด #ฉ้อโกงประชาชน #JTlawfirm #ทนายความเชียงใหม่ #รับว่าความทั่วประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

คดีลักทรัพย์ ถอนแจ้งความได้ไหม?

 


❗ คดีลักทรัพย์ ถอนแจ้งความได้ไหม?

❓ “เขาขโมยของไป แต่พอเราจับได้ เขามาขอโทษแล้วคืนของให้หมด… เราใจอ่อน เลยอยากถอนแจ้งความ แบบนี้คดีจะจบไหม?”

หลายคนเมื่อเกิดเหตุลักทรัพย์ มักรีบแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดี แต่เมื่อคนร้ายกลับใจ คืนของให้ หรือเป็นคนรู้จักกัน ก็เกิดคำถามว่า “จะถอนแจ้งความได้ไหม” หรือ “ถ้าถอนแล้ว คดีจะยุติหรือเปล่า?”

ลองดูกรณีนี้เพื่อเข้าใจให้ชัดเจนครับ


📌 กรณีสมมุติ

นางเอ จับได้ว่านายบี (คนรู้จักกัน) แอบขโมยสร้อยทองในบ้าน จึงไปแจ้งความให้ตำรวจจับ พอตำรวจเรียกตัวนายบีมาสอบสวน นายบีขอโทษ และยินดีคืนทองพร้อมชดใช้ค่าเสียหาย นางเอจึงอยาก “ถอนแจ้งความ” เพราะไม่อยากให้ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล


⚖️ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายอาญา 

มาตรา ๓๓๔  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา ๓๙  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(๑) โดยความตายของผู้กระทำผิด

(๒) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย

(๓) เมื่อคดีเลิกกันตามมาตรา ๓๗

(๔) เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง

(๕) เมื่อมีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้น

(๖) เมื่อคดีขาดอายุความ

(๗) เมื่อมีกฎหมายยกเว้นโทษ



🔍 วิเคราะห์

“คดีลักทรัพย์” เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่คดีที่ยอมความได้
ดังนั้น…

✅ การแจ้งความแล้ว “แสดงเจตนาจะถอนแจ้งความภายหลัง” ไม่ทำให้คดีสิ้นสุด
✅ ตำรวจยังมีหน้าที่สืบสวน ส่งฟ้องอัยการ
✅ ศาลยังดำเนินคดีได้ แม้ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ

ในทางปฏิบัติ การคืนทรัพย์สิน หรือผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดี หรือแสดงว่าตนให้อภัย เป็นส่วนหนึ่งในดุลยพินิจศาลในการ “ลดหย่อนหรือบรรเทาโทษ”


สรุป

  • ❌ ลักทรัพย์ ถอนแจ้งความไม่ได้ คดีไม่ยุติ

  • ✅ แม้คืนของ ยอมความไม่ได้ แต่ “ศาลอาจลงโทษน้อยลง”

  • ⚖️ เพราะเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ตำรวจดำเนินคดีต่อได้เอง


📌 หมายเหตุ

บทความนี้เป็นเพียงความเห็นทางกฎหมายเท่านั้น ผลทางกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงแตกต่างไป วิธีปฏิบัติและผลย่อมแตกต่างไปด้วย


🤝 ปรึกษาทนายตั้ม จาก JT Law Firm

💬ปรึกษาทนายตั้ม เราช่วยวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ประเมินทางเลือก และช่วยดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย
📩 ติดต่อผ่าน LINE หรือ โทรศัพท์ หรือ Facebook: JT ปรึกษากฎหมายกับทนายตั้ม


🔖 #ลักทรัพย์ #ถอนแจ้งความ #คดีอาญาแผ่นดิน #JTlawfirm #ทนายความเชียงใหม่ #รับว่าความทั่วประเทศ

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

แอบถอนเงินจากบัญชีลูกค้า… โดนฟ้องลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอก!



🏦 แอบถอนเงินจากบัญชีลูกค้า… โดนฟ้องลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอก!

❓ พนักงานธนาคารถอนเงินจากบัญชีลูกค้าโดยใช้ระบบภายใน แบบนี้ผิดฐานอะไร?

หลายคนคิดว่า... ถ้าเป็นพนักงานขององค์กร แล้วใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปถอนเงินลูกค้าออกมาเอง แบบนี้น่าจะเป็น “ยักยอก”
แต่คำพิพากษาศาลฎีกา ชี้ว่า… นั่นคือ "ลักทรัพย์" แล้วเหตุผลคืออะไร?


📌 กรณีสมมติ (อิงจากคำพิพากษาจริง)

นาย “บี” เป็นพนักงานธนาคาร มีหน้าที่ดูแลงานบริการลูกค้าและสามารถเข้าระบบปรับข้อมูลบัญชีได้
วันหนึ่ง นายบี สังเกตเห็นลูกค้ารายหนึ่งมีเงินในบัญชีหลายแสนบาทที่ไม่เคลื่อนไหวเลย เขาจึงแอบใช้ระบบภายใน ปลอมรายการถอนเงิน และเปลี่ยนข้อมูลบัญชีบางส่วน เพื่อโอนเงินไปยังบัญชีของตนเอง

ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนธนาคารตรวจพบ และแจ้งความดำเนินคดี

นายบีพยายามอ้างว่า ตนเองมีหน้าที่เข้าถึงระบบอยู่แล้ว เงินก็อยู่ในระบบของธนาคาร การกระทำของตนเป็นเพียง “ยักยอก” เท่านั้น

แต่ศาลฎีกาตัดสินว่า... ผิดฐานลักทรัพย์!


⚖️ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายอาญา

                     มาตรา ๓๓๔  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท

มาตรา ๓๕๒  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง

มาตรา ๓๕๖  ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้

 


📚 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1104/2545

จำเลยเป็นพนักงานของธนาคารผู้เสียหาย ตำแหน่งพนักงานธนากรมีหน้าที่รับฝากและถอนเงินให้ลูกค้า แต่เงินที่ลูกค้านำฝากเข้าบัญชีของลูกค้าไว้กับผู้เสียหายเป็นของผู้เสียหายและอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย มิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลย การที่จำเลยใช้ใบถอนเงินหรือแก้ไขบัญชีเงินฝากของลูกค้าผู้ฝากต่างกรรมต่างวาระในรูปแบบทางเอกสารเป็นกลวิธีในการถอนเงินของผู้เสียหายจนเป็นผลสำเร็จแล้วทุจริตนำเงินนั้นไป จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์มิใช่ยักยอก


🔍 วิเคราะห์

ในกฎหมายไทย "ยักยอก" คือการเบียดบังทรัพย์ที่ตนมีสิทธิครอบครองอยู่ก่อนแล้ว
แต่ในคดีนี้ พนักงานเพียงมี “สิทธิในการเข้าถึงระบบ” เท่านั้น ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์อย่างแท้จริง

ดังนั้นเมื่อแอบถอนเงินออกไป ก็ถือว่า “ลักทรัพย์” ที่ยังอยู่ในความครอบครองของธนาคาร


✅ สรุปความเข้าใจ

ประเด็นคำตอบ
เงินของใคร?ของธนาคาร (แม้ลูกค้าเป็นเจ้าของสิทธิในบัญชี)
พนักงานมีสิทธิเข้าถึงระบบแล้วถอนเองได้ไหม?ไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิครอบครองเงิน
ถอนเงินออกมาใช้ส่วนตัว= ลักทรัพย์
ถ้ามีสิทธิเก็บรักษาเงิน แล้วแอบเอาไป= ยักยอก

📌 หมายเหตุ

บทความนี้เป็นเพียงความเห็นทางกฎหมายเท่านั้น ผลทางกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงแตกต่างไป วิธีปฏิบัติและผลย่อมแตกต่างไปด้วย


🤝 ปรึกษาทนายตั้ม จาก JT Law Firm

💬 ปรึกษาทนายตั้ม เราพร้อมช่วยเหลือทั้งในขั้นตอนสอบสวนและในชั้นศาล

📩 ติดต่อเรา:


🔖 #ลักทรัพย์ #ยักยอกทรัพย์ #JTlawfirm #ทนายความเชียงใหม่ #รับว่าความทั่วประเทศ

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

แจ้งความแล้ว... ตำรวจมีหน้าที่ต้องทำอะไรต่อ?

 


❓ “แจ้งความมาเกือบ 2 เดือนแล้ว คดีเงียบ ไม่มีใครติดต่อกลับมาเลย แบบนี้ปกติไหม?”

เป็นคำถามที่พบเจอบ่อยมาก และหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองในฐานะ "ผู้แจ้งความ" หรือ "ผู้เสียหาย" มีสิทธิได้รับการแจ้งความคืบหน้าจากตำรวจเป็นระยะ ๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปตามจี้ด้วยตัวเองตลอดเวลา

เรื่องนี้มีหลักเกณฑ์ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดไว้อย่างชัดเจนครับ


📌 กรณีสมมติ:

คุณเอ ถูกหลอกให้โอนเงินซื้อของออนไลน์แล้วไม่ได้ของ เธอจึงไปแจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงไว้ที่โรงพักใกล้บ้าน ตำรวจรับแจ้งเป็นคดีอาญา และลงบันทึกไว้ครบถ้วน

แต่ผ่านไปเกือบ 2 เดือน ไม่มีใครจากโรงพักติดต่อมาอีกเลย คุณเอเริ่มสงสัยว่า คดีไปถึงไหนแล้ว? ต้องไปตามเองไหม? หรือเงียบแบบนี้หมายถึงว่า...ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย?


⚖️ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

คำสั่ง ตร. ที่ 419/2556

บทที่ 2 ว่าด้วย การแจ้งผลความคืบหน้าการสอบสวน มีใจความว่า:

ข้อ 1.2.2 การแจ้งผลความคืบหน้าการสอบสวนให้ผู้ร้องทุกข์หรือผู้กล่าวโทษทราบ ให้ทำเป็นหนังสือ โดยมีระยะเวลาในการแจ้งความคืบหน้าผลการสอบสวน ดังนี้:

  • ครั้งแรก: เมื่อครบกำหนด 30 วัน นับแต่วันรับคำร้องทุกข์

  • ครั้งที่สอง: เมื่อครบ 60 วัน หลังจากวันที่แจ้งครั้งแรก

  • ครั้งที่สาม: เมื่อสรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ

ทั้งนี้ หากมีการออกหมายจับ หรือจับกุมผู้ต้องหาได้ ก็ให้แจ้งผู้ร้องทุกข์หรือผู้กล่าวโทษทราบด้วย


🧠 วิเคราะห์:

เมื่อคุณเอแจ้งความว่าโดนโกงออนไลน์ ตำรวจรับเรื่องไว้ในฐานะคดีอาญา ก็แปลว่า “คุณเอได้ใช้สิทธิในการร้องทุกข์แล้ว” ซึ่งตามคำสั่งข้างต้น ตำรวจมีหน้าที่ต้องแจ้งความคืบหน้าให้ทราบ ภายใน 30 วัน โดยไม่ต้องรอให้คุณเอไปถามก่อน

และหลังจากนั้น ถ้ายังไม่สรุปสำนวน ก็ต้องแจ้งซ้ำอีกครั้งเมื่อครบ 60 วัน และสุดท้ายเมื่อสรุปสำนวนส่งอัยการ ก็ต้องแจ้งให้ผู้เสียหายทราบอีกครั้งด้วย

ดังนั้น การที่ตำรวจไม่แจ้งอะไรเลย แม้เวลาผ่านไปเกิน 30 วัน ก็เป็นสิทธิของผู้เสียหายที่จะสอบถามความคืบหน้าโดยทำเป็นหนังสือไปยังตำรวจ


✅ สรุป:

  • ✅ เมื่อแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี ตำรวจต้องแจ้งความคืบหน้าให้ผู้เสียหายภายใน 30 วันแรก

  • ✅ หลังจากนั้นอีก 60 วัน ก็ต้องแจ้ง และเมื่อสรุปสำนวนส่งอัยการก็ต้องแจ้ง

  • ❌ หากตำรวจไม่แจ้งอะไรเลยแม้เวลาผ่านไปเกิน 30 วัน เรามีสิทธิสอบถามความคืบหน้า


📝 ข้อเสนอแนะ:

หากคุณเคยแจ้งความไว้ แต่ไม่ได้รับจดหมายแจ้งความคืบหน้าตามระยะเวลา สามารถทำ หนังสือสอบถามความคืบหน้า ได้ทันที โดยระบุข้อมูลสำคัญ เช่น

  • ชื่อผู้แจ้ง

  • วันที่แจ้งความ รายละเอียด

  • หมายเลขคดี (ถ้ามี)

  • ขอให้พนักงานสอบสวนแจ้งความคืบหน้าเป็นหนังสือภายในระยะเวลาที่เหมาะสม

หนังสือนี้ควรส่งด้วยตนเอง หรือส่งไปรษณีย์แบบลงทะเบียน และเก็บสำเนาไว้เป็นหลักฐานเผื่อใช้ในภายหลัง


⚠️ หมายเหตุ:

บทความนี้เป็นเพียงความเห็นทางกฎหมายเท่านั้น ผลทางกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงแตกต่างไป วิธีปฏิบัติและผลย่อมแตกต่างไปด้วย


🤝 ปรึกษาทนายตั้ม จาก JT Law Firm

หากคุณแจ้งความแล้วคดีเงียบ ตำรวจไม่แจ้งอะไรกลับมาเลย 💬
ปรึกษาทนายตั้ม ทีมงานเราช่วยดูแลให้คำแนะนำเรื่องหนังสือสอบถาม อย่างถูกต้อง
📩 ติดต่อผ่าน LINE , โทรศัพท์
หรือทาง Facebook: JT ปรึกษากฎหมายกับทนายตั้ม


#แจ้งความแล้วเงียบ #คำสั่งตำรวจแห่งชาติ419 #สิทธิผู้เสียหาย #ทนายความ #JTlawfirm #ทนายความเชียงใหม่ #รับว่าความทั่วประเทศ